ประเพณีบุญบั้งไฟ
ประเพณีบุญบั้งไฟ
เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนหก” เป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสานเป็นช่วงฤดูฝนเข้าสู่การทำนา ตกกล้า หว่าน ไถ
เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสาน
เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง
การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน
หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก
หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล
อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติ
กับหมู่บ้านได้ ซึ่งจะจัดขึ้นทุก ๆ
เดือนหกหรือพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี ด้วยความเชื่อตามเรื่องเล่านี้จึงทำให้ชาวอีสานทำบั้งไฟทุกปีเพื่อเตือนพญาแถน
ประเพณีบุญบั้งไฟ ได้ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน
บุญบั้งไฟเป็นบุญประเพณีที่มีความสำคัญมายาวนาน นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องหมายของความสามัคคีและมิตรภาพ
และถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอฝนและต่อสู้กับความแห้งแล้ง ถึงแม้ว่าความเชื่อถือด้านเทวดาผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งฝนในปัจจุบันได้ลดน้อยกว่าในสมัยก่อน
แต่ชาวลาวยังคงยึดถือจารีตประเพณี ดั้งเดิมนี้ ด้วยการสืบทอดจากการเตรียมบุญบั้งไฟขึ้นในทุกๆปีก่อนฤดูเก็บเกี่ยว
ควบคู่กับการจัดเตรียมบั้งไฟต่างๆของบุญนี้
ประเพณีต่างๆทางศาสนาพุทธ เช่น
การสูตรรดน้ำมนต์โดยเจ้าอาวาสวัดยังได้ถูกจัดขึ้นพร้อมๆกัน
บุญบั้งไฟเป็นบุญประเพณีที่มีความหมายว่า ชาวไร่ชาวนาได้ทำการบูชาขอฝนจากพระยาแถน
นอก
จากนี้แล้วบุญบั้งไฟยังเป็นวิธีเดียวที่มนุษย์ใช้สื่อสารกับเทวดาเพื่อเป็นการขอฝน
คนอีสานทำบุญบั้งไฟโดยมีจุดประสงค์หลายอย่าง
เช่น ขอน้ำฝน เชื่อมความภักดี แสดงการละเล่น และการบูชาพญาแถนบูชาคุณพระ
พุทธเจ้า ชาวอีสานส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนา
เมื่อถึงเทศกาลเดือนหกซึ่งเป็นวันประสูติ วันตรัสรู้
และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าชาวอีสานจะพากันบูชาคุณของพระพุทธเจ้า
โดยการจัดดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชาพระพุทธรูป
การทำบุญบั้งไฟของชาวอีสานก็ถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยอามิสบูชาอย่างหนึ่งการทำบุญบั้งไฟจะมีการบวชพระเณร
เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาพระและเณรเป็นคนใกล้ชิดและติดต่อกับพระพุทธเจ้าและพระธรรม พระยาขอมทำบุญบั้งไฟครั้งนั้นก็มีบวชเณรด้วย
การบวชพระบวชเณรและสรงน้ำหอมพระเณร ก็รวมอยู่กันในประเพณีนี้
ดังนั้นการทำบุญบั้งไฟชาวอีสานจึงถือว่าเป็นการต่ออายุพระพุทธศาสนายืนยาวต่อไปการขอน้ำฝน
การทำนาของชาวอีสานต้องอาศัยน้ำฝน น้ำฝนที่ชาวอีสานอาศัยนั้นชาว
อีสานก็สร้างเองไม่ได้ ต้องขอจากเทพบุตร เทพยดา ตามตำนานเล่าไว้ว่า
มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ
วัสกาลเทพบุตรมีหน้าที่แต่งน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกลงมาชาวอีสานเชื่อตามตำนานนี้จึงทำบุญบั้งไฟเพื่อขอน้ำจากเทพบุตรองค์นั้นความสามัคคีคนในบ้านหนึ่งเมืองหนึ่ง ต่างพ่อต่างแม่
ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนาต่างจารีตประเพณีนั้นเมื่อมาอยู่รวมบ้านรวมเมืองเดียวกัน
ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้
ร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองนั้นก็หาความสุขความเจริญไม่ได้
ถ้าคนในบ้านในเมืองถือกันเหมือนพี่เหมือนน้องมีอะไรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยกันรักษาพยาบาล
การทำบุญบั้งไฟของชาวอีสานก็เพื่อเชื่อมความสามัคคีให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองการแสดงการละเล่น
การทำบุญบั้งไฟเป็นการปิดโอกาสให้ทุกคนมาแสดงการละเล่น
คนเราเมื่อได้เล่นได้กินร่วมกัน จะเกิดความ
รักใคร่ใยดีต่อกัน
การเล่นบางอย่างจะสุภาพเรียบร้อย บางอย่างหยาบโลน
แต่ก็ไม่ถือสาหาความถือเป็นการเล่นเท่านั้น
ประเภทของบั้งไฟ
ประเภทของบั้งไฟ บั้งไฟมี 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 ได้แก่ บั้งไฟที่ไม่มีหาง เช่นบั้งไฟพุ บั้งไฟพะเนียง
บั้งไฟตะไล บั้งไฟดอกไม้ บั้งไฟโครงขาว บั้งไฟม้า
ประเภทที่ 2 ได้แก่ บั้งไฟที่มีหาง ซึ่งแบ่งเป็น 4หมวดหมู่ ดังนี้
1. บั้งไฟน้อย
เป็นบั้งไฟที่มีขนาดเล็กบั้งไฟชนิดนี้ถูกนำมาใช้เพื่อเสี่ยงทายดูว่าฝนจะตกต้องตาม
ฤดูกาลหรือไม่
ถ้าหากว่าบั้งไฟถูกยิงขึ้นไปสูงสุดหมายถึงฝนจะดี
2. บั้งไฟร้อย เป็นบั้งไฟที่บรรจุดินปืนน้อยกว่า 12 กิโลกรัม
ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการแข่งขัน
3. บั้งไฟหมื่น เป็นบั้งไฟที่บรรจุดินปืนระหว่าง 12 – 119
กิโลกรัม
4. บั้งไฟแสน เป็นบั้งไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งบรรจุดินปืน 120
กิโลกรัมการแห่บั้งไฟ
การทำบั้งไฟ
ในสมัยก่อนการทำบั้งไฟจะใช้ไม้ไผ่ลำขนาดใหญ่ที่สุด ทะลวงปล้องให้ถึงกัน
ภายนอกจะใช้ตอกไม้ไผ่ถักเป็นเชือกมัดรอบลำไผ่ให้แน่น
เพื่อไม่ให้ลำไผ่แตก
ส่วนหัวปล้องสุดท้ายจะถูกอุดด้วยแผ่นไม้หนาพอควร แล้วทำการอัดบรรจุหมื่อ (ดินปืน)
ให้แน่นด้วยการตำ หรือใช้คานดีด
คานงัด
(ในปัจจุบันใช้แม่แรงยกล้อรถบรรทุกแทนสะดวกกว่ากันดังภาพซ้ายมือ)
ยุคสมัยเปลี่ยนไปจากลำไผ่กลายมาเป็นท่อเหล็กหรือท่อประปา
(ซึ่งอันตรายมากเมื่อมีการระเบิดใส่ผู้คนอย่างที่เป็นข่าว)
ตอนหลังหันมาใช้ท่อพีวีซีแทนซึ่งก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี จากการบูชาแถนมาเป็นการ
พนันขันต่อเพื่อการเดิมพัน
จำนวนบั้งไฟที่จุดในแต่ละที่จึงมีจำนวนมาก
และสร้างความเสียหายต่อชุมชนในทิศที่บั้งไฟถูกจุดออกไป (เพราะ
สามารถไปไกลได้หลายสิบกิโลเมตร)
การจัดประเพณีบุญบั้งไฟ
ก่อนจะถึงวันงานหรือวันเอาบุญ ชาวบ้านก็จะช่วยกันเตรียมงานกันอย่างสามัคคี
ชาวบ้านที่ได้รับมอบหมายจะสร้างปะรำ หรือ "ผาม"หรือ "ตูบบุญ” ฝ่ายแม่ครัวก็เตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงแขกเลี้ยงคน
ฝ่ายช่างฟ้อนก็เตรียมขบวนรำไว้สำหรับแห่บั้งไฟ ฝ่ายผู้ชายที่เป็นช่างฝีมือก็ช่วยกันทำบั้งไฟและตกแต่งให้สวยงาม
งานบุญบั้งไฟส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีพิธีกรรมทางศาสนาเท่าใดนักแต่บางแห่งก็มีพิธีทำบุญเลี้ยงพระบ้าง
วันโฮม เป็นชาวบ้านก็จะมาตั้งขบวนเพื่อแห่บั้งไฟไปรอบ ๆ หมู่บ้าน
เป็นงานบุญที่เน้นความสนุกสนานรื่นเริง ในขบวนจะมีการรำเซิ้งตามบั้งไฟ และบรรดาขี้เหล้าทั้งหลายก็จะร้องเพลงเซิ้งไปของเหล้าตามบ้านต่าง
ๆ กาพย์เซิ้งอาจจะหยาบคายแต่ก็ไม่มีใครถือสากัน แต่กาพย์เซิ้งที่ใช้แห่ในขบวนมักจะเป็นประวัติและความเป็นมาของพิธีบุญบั้งไฟ
วันจุดบั้งไฟก็อาจจะเป็นอีกวันหนึ่งคือเป็นวันที่ชาวบ้านจะเอาบั้งไฟของแต่ละคุ้มแต่ละหมู่บ้านมาจุดแข่งกัน
ถ้าของใครทำมาดีจุดขึ้นได้สูงสุดก็จะชนะแต่ถ้าของใครแตกหรือซุก็ถือว่าแพ้
ต้องโดนลงโทษโดยการจับโยนลงโคลนหรือตมซึ่งเป็นที่สนุกสนานอย่างยิ่ง
การจุดบั้งไฟเป็นการเสี่ยงทาย ถ้าบั้งไฟขึ้นสูง
ก็ทำนายว่าฝนจะตกดี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
ในปัจจุบันบุญบั้งไฟถือเป็นประเพณีที่ให้สาระของความสนุกสนานที่แฝงไว้ด้วยความเชื่อถือศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนาน
กิจกรรมทั้งหมดของประเพณีนี้ได้ถ่ายทอดความรู้สึก
ภูมิปัญญาของชุมชนในเรื่องเทคโนโลยีพื้นบ้าน การเลือกไม้ไผ่มาทำบั้งไฟ
การตัดไม้ไผ่โดยไม่เป็นอันตราย การบรรจุดินปืนลงกระบอกไม้ไผ่
ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมสืบกันมา การตกแต่งบั้งไฟเป็นงานศิลปะ การเซิ้ง
การรับลำ และความเชื่อในผีแถน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น